.
.
Midnight Sun by Stephenie Meyer
.
Translation by ppompam
.
.
Open Book
.
ผมเอนหลังพิงกับกองหิมะ ปล่อยให้มันเปลี่ยนรูปทรงไปตามน้ำหนักรอบๆ ตัวผม ร่างกายของผมเย็นพอๆกับอากาศหนาวเหน็บในตอนนี้ เกล็ดหิมะโปรยปรายมาให้ความรู้สึกเหมือนสัมผัสของผ้ากำมะหยี่ .. ท้องฟ้าใสกระจ่าง ดวงดาวแพรวพราวระยับ ส่องประกายสีฟ้าบ้าง เหลืองบ้าง ดวงดาวสรรสร้างให้ท้องฟ้าสีดำดูยิ่งใหญ่และงดงาม ถ้าจะว่าไปมันก็งดงามอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ … ถ้าผมจะสามารถเห็นความงามนั้นได้จริงๆ
หกวันที่ผ่านไป ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย หกวันที่ผมมาหลบอยู่ในป่ากว้างกับพวก เดนาลี แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใกล้ความเป็นอิสระมากไปกว่าที่เคยเป็น ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมได้กลิ่นของเธอ
เมื่อผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่พราวแสงดาว ก็เหมือนกับว่ามีอะไรมาขวางกั้นระหว่างผมกับความงดงามนั้น เป็นเพียงใบหน้าของมนุษย์แสนจะธรรมดาที่มากางกั้นไว้ แต่ดูเหมือนผมจะไม่สามารถลบสิ่งธรรมดาๆนี้ออกจากใจได้เลย ..
ผมได้ยินเสียงความคิดที่ใกล้เข้ามาก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าของเสียง การเคลื่อนไหวนั้นเสียงดังคล้ายคำกระซิบแผ่วบนผิวหิมะ แค่นั้นเอง
ผมไม่แปลกใจเลยที่ ธัญญา ตามผมมาที่นี่ เพราะเธอครุ่นคิดมาตลอดสองสามวันนี้ว่าจะพูดกับผมอย่างไรดี เธอผลัดวันมาเรื่อยจนเธอแน่ใจว่าเธอต้องการจะพูดอะไร .. เธอพลิ้วตัวเข้ามาระยะสายตาผมไกลออกไปประมาณ หกสิบหลา แล้วกระโดดมายืนบนปลายก้อนหินสีดำที่ยื่นออกมา ทรงตัวไว้ด้วยเท้าเปล่า .. ผิวของธัญญาเป็นสีเงินยวงภายใต้แสงดาว เธอมีผมเป็นยาวเป็นลอน สีบลอนด์จางเกือบชมพู แต้มด้วยสีของสตรอเบอรี่ ตาสีอำพันมีประกายวิบวับเหมือนจะแอบมองผมที่ถูกฝังครึ่งตัวอยู่ใต้หิมะ แล้วริมฝีปากอิ่มของเธอจึงแย้มยิ้ม
ความงดงามที่เจิดจรัส ถ้าผมสามารถมองเห็นเป็นเช่นนั้นได้นะ……
ผมถอนหายใจ
เธอก้มตัวลงบนปลายแหลมของก้อนหิน นิ้วมือเธอแตะก้อนหิน ม้วนตัวลงมา
ลูกกระสุนปืนใหญ่ … เธอคิดพลางเธอส่งตัวเองขึ้นไปในอากาศ เงาของเธอในความมืดดูเหมือนเธอหมุนต้วอย่างสง่างามในอากาศกั้นระหว่างผมกับดวงดาว แล้วเธอก็ม้วนตัวพุ่งเข้าชนกองหิมะข้างตัวผม พายุหิมะกระจายท่วมตัวผม มองไม่เห็นแล้วดวงดาว .. ผมถูกกลบด้วยหิมะที่เบาและนุ่มดั่งขนนก
ผมถอนหายใจอีกหน แล้วก็นอนนิ่งๆอยู่อย่างนั้น การอยู่กับความมืดใต้หิมะ ไม่ได้ทำลายหรือทำให้สิ่งที่ผมมองดูอยู่สวยงามขึ้นเลย เพราะผมยังคงเห็นเป็นใบหน้าเดิม
“ เอ็ดเวิร์ด”
จากนั้นหิมะก็ปลิวกระจายไปทั่วอีกครั้ง ธัญญากำลังขุดผมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอปัดเกล็ดหิมะออกจากใบหน้าที่นิ่งเป็นรูปปั้นของผม ไม่สบตา
“ขอโทษนะ” เธอพึมพำ “ฉันล้อคุณเล่นน่ะ”
“ผมรู้ .. ก็สนุกดี” … เธอเม้มปาก “ไอรีน่า กับ เคท บอกฉันว่าควรให้คุณอยู่ตามลำพัง พวกเธอคิดว่าฉันจะมา
กวนใจคุณ”
“ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก ” ผมบอกให้เธอสบายใจ “ตรงกันข้ามเลย ผมเองที่ทำตัวเสียมารยาท ไม่สุภาพเอาเสียเลย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
คุณกำลังจะกลับบ้านแล้ว ใช่ไหม? เธอคิด
“ผม .. ยังไม่ได้….ตัดสินใจเลย”
แต่คุณก็จะไม่อยู่ที่นี่ … ความคิดเธอมีความโหยหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ น่าเศร้าจริงๆ
“ใช่ ดูเหมือนมันไม่ดีขึ้นเลยน่ะ” เธอทำหน้าตาบูดบึ้ง “เป็นเพราะฉันใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่อยู่แล้วล่ะ” ผมโกหกเสียงราบเรียบ … อย่าเป็นสุภาพบุรุษนักเลย เธอค้านในใจ .. ผมยิ้ม
ฉันคงทำให้คุณอึดอัดใจ เธอกล่าวหาตัวเอง
“ปล่าวเลย” ผมบอก .. เธอเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง สีหน้าของเธอบอกว่าเธอไม่เชื่อคำพูดผม จนผมต้องหัวเราะออกมา แค่ประเดี๋ยวเดียว แล้วถอนหายใจ
“ก็ได้” ผมยอมรับ “ก็แค่นิดหน่อยน่ะ”
เธอถอนหายใจด้วยอีกคน แล้วเอามือเท้าคาง บ่งบอกว่าเธอผิดหวัง
“ธัญญา คุณน่ารักกว่าดวงดาวทั้งหลายเป็นพันเท่า คุณก็รู้อยู่แล้ว อย่าให้ความดื้อดึงของผมไปลดทอนความมั่นใจของคุณเลย” ผมหัวเราะอยู่ในคอ เพราะเธอคงทำตามที่ผมพูดไม่ได้แน่นอน
“ฉันไม่คุ้นกับการถูกปฏิเสธน่ะ” เธอพูดเหมือนบ่น ทำปากยื่นไม่พอใจ แต่ก็ยังดูสวยน่ามอง
“นั่นไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว” ผมเห็นด้วย ผมพยายามที่จะกันความคิดเรื่องรักๆใคร่ๆ อันเปรียบเป็นชัยชนะของเธอนับพันๆ เรื่องผ่านความทรงจำของเธอ ให้ออกไปจากหัวผม โดยมากแล้ว ธัญญาโปรดปรานมนุษย์ผู้ชาย เพราะพวกเขามีความนุ่มนวล และ ร่างกายที่อบอุ่น ถือเป็นข้อได้เปรียบ ส่วนเรื่อง ความปรารถนา นั้น .. ไม่ต้องถาม
“ปีศาจสาวกระหายรัก” ผมแหย่เธอ เพื่อจะแทรกขัดจังหวะภาพความหวังที่ริบหรี่ในความคิดของเธอ
เธอยิ้มยิงฟัน ก่อนบอกว่า “ตัวจริง เสียงจริง ต้นฉบับของแท้ เลยล่ะ”
ธัญญา และ น้องสาวอีกสองคน ค่อยๆค้นพบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและวิถีชีวิตที่พวกเขาที่ต้องการอย่างช้าๆ แตกต่างจาก คาร์ไลส์ … สุดท้าย เมื่อพวกเธอพบกับความรักของมนุษย์ ซึ่งเปลี่ยนน้องสาวทั้งสองให้ต่อต้านการฆ่ามนุษย์อย่างโหดร้าย ปัจจุบันนี้ผู้ชายที่พวกเขารัก … ยังมีชีวิตอยู่
“ตอนที่คุณโผล่มาที่นี่ ….ฉันคิดว่า…” ธัญญาพูดช้าๆ
ผมรู้ว่าตอนนั้นเธอคิดอะไร และผมควรจะเดาได้ว่าเธอจะรู้สึกแบบนั้นแน่ๆ แต่ขณะนั้นผมหมดสภาพ และไม่มีจิตใจจะมาคำนึงถึงเรื่องนี้เลย
“คุณคิดว่า ผมคงเปลี่ยนใจ”
“ใช่” เธอยอมรับหน้าตาไม่มีรอยยิ้ม
“ผมรู้ว่าผมใจร้ายมากที่ทำเหมือนล้อเล่นกับความคาดหวังของคุณ แต่ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น .. ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ .. ผมคิดแค่ว่าต้องไปแล้ว … ผมค่อนข้างรีบ”
“ฉันไม่ได้คิดว่า คุณจะเล่าให้ฟังหรอกนะ ว่าเพราะอะไร …?”
ผมนั่งเอามือกอดเข่า งอตัวเหมือนปกป้องตัวเอง “ผมไม่อยากพูดถึงมัน”
ธัญญา ไอรีนา และ เคท ต่างดำเนินชีวิตได้ดีในวิถีที่พวกเธอได้เลือกเดิน บางอย่างก็ทำได้ดีกว่าคาร์ไลส์ แม้กระทั่งการที่พวกเธอเอาตัวเองเข้าไปอยู่อย่างใกล้ชิดกับมนุษย์กว่าที่ควรจะเป็น .. หรือ .. สักวันอาจเป็นเหยื่อของพวกเธอ มันเป็นเรื่องที่เสียสติมากๆ แต่พวกเธอไม่เคยผิดพลาดเลย ผมอับอายเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอต่อหน้าธัญญา
“เรื่องผู้หญิง ใช่ไหม?” เธอคาดเดา ไม่สนใจว่าผมอยากจะบอกหรือเปล่า
ผมหัวเราะเซ็งๆ “มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดหรอก”
เธอไม่พูดอะไรต่อ ผมฟังความคิดเธอว่าจะเดาว่าเป็นเรื่องอะไรอีก เธอพยายามทำความเข้าใจคำพูดที่คลุมเครือของผม
“คุณไม่เฉียดเลยล่ะ ธัญญา” ผมบอก
“บอกใบ้ นิดนึง” เธอต่อรอง
“ช่างมันเถอะ, ธัญญา”
เธอเงียบไปอีกครั้ง แต่ยังคิดคาดเดาไปเรื่อย ผมเลิกสนใจเธอ แล้วหันกลับมาชื่นชมดวงดาวบนท้องฟ้าต่อ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย … เธอยอมแพ้ หลังจากที่เงียบกันไป ความคิดของเธอก็หันเหไปทางอื่น
“เมื่อไปจากที่นี่แล้ว คุณจะไปไหนคะ เอ็ดเวิร์ด? กลับไปหาคาร์ไลส์?”
“คงไม่” เสียงผมเบาเหมือนสียงกระซิบ … ผมจะไปที่ไหนดี? ผมคิดไม่ออกว่ามีสถานที่ไหนในโลกนี้ที่จะเรียกความสนใจจากผมได้อีก ไม่มีอะไรที่ผมอยากเห็น หรืออยากทำ เพราะไม่ว่าผมไปที่ไหน ผมก็จะไม่ได้ไปที่ไหนเลย .. ผมแค่วิ่งหนีเท่านั้นเอง
ผมเกลียด .. ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผมกลายเป็นคนขี้ขลาด? … ธัญญาเอื้อมแขนมาโอบไหล่ผมไว้ ผมนิ่งยืดตัวตรง แต่ก็ไม่ได้เบี่ยงตัวหนี .. เธอแค่ต้องการปลอบให้ผมสบายใจขึ้น อย่างเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
“ฉันคิดว่า คุณจะกลับไป” เธอพูด , น้ำเสียงของเธอยังมีสำเนียงของชาวรัสเซียที่จางหายไปเนิ่นนานปะปนอยู่บ้าง “ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร หรือเป็นใครก็ตาม ที่ยังหลอกหลอนคุณอยู่ คุณจะยอมรับและประจันหน้ากับมันไปเลย …. นั่นคือคุณ” เธอมั่นใจในความคิดของเธอเหมือนที่เธอพูด ผมพยายามโอบรับภาพของผมที่อยู่ในความคิดของเธอมาไว้กับตัว … คนที่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ผมรู้สึกดีที่ได้คิดถึงตัวเองในแบบนั้นอีกครั้ง เมื่อก่อนนี้ผมไม่เคยเคลือบแคลงใจในความกล้าหาญ และความสามารถในการสู้กับอุปสรรคที่ยากลำบากของตัวเองเลย จนผมมาเจอกับชั่วโมงที่น่ากลัวอย่างร้ายกาจในห้องเรียนชีวะ เมื่อไม่นานนี้เอง
ผมจูบเธอที่แก้ม แล้วรีบดึงตัวเองกลับมา เมื่อเธอหันหน้ามาทางผม ริมฝีปากของเธอเผยออย่างรอคอย … เธอยิ้มเศร้าๆ กับความรวดเร็วของผม
“ขอบคุณมากธัญญา นี่แหละที่ผมอยากได้ยิน”
ตอนนี้ความคิดเธอเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง “ก็ต้องบอกว่า ด้วยความยินดีสินะ หวังว่าต่อไปจะทำอะไรให้มีเหตุผลสุขุมรอบคอบกว่านี้นะคะ เอ็ดเวิร์ด”
“ผมขอโทษ ธัญญา , รู้ไหมว่า คุณดีเกินไปสำหรับผม ผมก็แค่…ยังไม่เจอสิ่งที่ผมกำลังมองหาอยู่”
“ถ้าคุณจะจากไปตอนนี้เลย .. ก็ .. ลาก่อนนะคะเอ็ดเวิร์ด”
“ลาก่อน ธัญญา” อย่างที่ผมพูดว่าผมมองเห็น เห็นตัวเองกำลังจากไป ผมเข้มแข็งพอที่จะกลับไปยังสถานที่ ที่ผมต้องการจะอยู่ที่นั่น “ขอบคุณอีกครั้ง”
เธอยืนขึ้นอย่างคล่องแคล่ว แล้ววิ่งข้ามหิมะไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่รอยเท้าให้เห็น เธอไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย เธอไม่ได้มองกลับมา คำปฏิเสธของผมคงรบกวนใจเธอมากกว่าคำพูดและท่าทางที่เธอแสดงออก มันแย่กว่าที่เธอคิดไว้ เธอคงไม่มาให้เห็นอีกจนกว่าผมจะจากไป … ผมรู้สึกผิด ละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไป ผมไม่อยากทำร้ายธัญญา แม้ว่าผมจะรับรู้ความรู้สึกที่แสนจะบริสุทธ์ใจของเธอก็ตาม ในแต่ละเรื่องนั้น ผมไม่สามารถตอบแทนเธอได้สักเรื่องเลย ดูเหมือนความเป็นสุภาพบุรุษของผมจะมีอยู่น้อยเหลือเกิน … ผมนั่งชันเข่าเท้าคาง มองขึ้นไปดูดวงดาวอีกครั้ง ผมเกิดวิตกกังวลกับทางที่ผมเลือกเดิน ผมรู้ว่าอลิซจะเห็นว่าผมกำลังกลับบ้านและเธอก็บอกให้คนอื่นๆได้รับรู้ ซึ่งนั่นจะทำให้ทุกคนมีความสุข .. โดยเฉพาะ คาร์ไลล์ กับ เอสเม่ … แต่เมื่อผมเพ่งมองดวงดาวอยู่อีกชั่วขณะ พยายามมองใบหน้าที่กั้นกลางระหว่างผมกับดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้า ดวงตาคู่โตสีชอคโกแลตจ้องกลับมาด้วยความสับสนและแปลกใจ เหมือนจะถามว่าการตัดสินใจของผมนั้น มีความสำคัญกับเธอหรือเปล่า แน่นอนว่า ผมไม่มั่นใจหรอกว่าสิ่งที่ดวงตาคู่นั้นค้นหาจริงๆแล้วคืออะไร แม้กระทั่งในจินตนาการผมก็ยังไม่สามารถได้ยินเสียงความคิดของเธอเลย ดวงตาของเบลล่า สวอน ยังคงตั้งตำถามต่อไป และผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นความงามของดวงดาวได้อยู่ดี
ผมหายใจแรงๆ ยอมแพ้ แล้วลุกขึ้นยืน ผมคงใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเพื่อกลับไปที่รถของคาร์ไลล์ .. ถ้าผมวิ่งไปนะ .. ..
ผมรีบกลับไปหาครอบครัว .. และอยากกลับไปเป็น เอ็ดเวิร์ด คนที่กล้าต่อสู้กับทุกอุปสรรคซึ่งๆ หน้า .. ผมวิ่งอย่างรีบเร่งข้ามทุ่งหิมะที่สะท้อนแสงของดวงดาว โดยไม่มีร่องรอยใดๆทิ้งไว้เบื้องหลัง
.,
Contunue Reading